วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สถิติเพื่อการวิจัย (กลุ่ม D)

สถิติเพื่อการวิจัย
ความหมายของการวิจัย
          กระบวนการหาความรู้ความจริงใหม่ ที่มีระบบแบบแผนตามหลักวิชา อาศัยหลักเหตุผล ที่รอบคอบ รัดกุม ละเอียดและเชื่อถือได้ และความรู้ความจริงนั้นจะนำไปเป็นหลักการ ทฤษฎี หรือ ข้อปฏิบัติที่ทำให้มนุษย์ได้รับรู้และนำไปใช้เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตด้วยความสงบสุขหรือป้องกันและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่าง ได้
สถิติในการวิจัย
          คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลในเชิงปริมาณอย่างเป็นระบบ ซึ่งในการวิจัยจะใช้สถิติหาคุณภาพของเครื่องมือ และใช้ในการกำหนดขนาดของตัวอย่างให้เหมาะสมกับประชากร และสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล แต่ก่อนทำการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ผู้วิจัยจะต้องคำนึงถึง ข้อจำกัดของสถิติแต่ละตัว และความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
          ประเภทของข้อมูลมีความสำคัญมาก สำหรับการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติ เพราะสถิติแต่ละตัวมีข้อจำกัดในการนำไปวิเคราะห์ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูล ฉะนั้นผู้วิจัยจะต้องมีความรู้ว่าข้อมูลแต่ละตัวอยู่ในประเภทใด ซึ่งข้อมูลทางการวิจัยมีอยู่หลายประเภท ดังต่อไปนี้
1. นามบัญญัติ (Nominal Scale)
          ข้อมูลประเภทนี้เป็นข้อมูลที่แบ่งเป็นกลุ่มเป็นประเภท ที่แยกออกจากกัน เช่น เพศ แบ่งเป็น ชาย, หญิง อาชีพ แบ่งเป็น     ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ค้าขาย เป็นต้นข้อมูลเหล่านี้จะใช้ สถิติง่าย ๆ ในการคำนวณ คือ ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงตัวแทนของชื่อกลุ่มเท่านั้น
           จะนำไป บวก ลบ คูณ หาร กันไม่ได้ในทางสถิติ เพราะไม่มีความหมาย
2.  เรียงอันดับ (Ordinal Scale)
          ข้อมูลประเภทนี้ เป็นข้อมูลที่ใช้จัดอันดับของสิ่งต่าง ๆ โดยเรียงอันดับของข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จากสูงสุดไปหาต่ำสุด เช่น ลำดับที่ของการสอบลำดับของการประกวดสิ่งต่าง ๆ หรือความนิยมเป็นต้น ซึ่งจะนำไป บวก ลบ คูณ หาร กันไม่ได้เช่นกัน
          สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ
3.  อันตรภาค (Interval Scale)
          ข้อมูลประเภทนี้ เป็นข้อมูลที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างค่าที่วัดได้แต่ละช่วง ที่มีความห่างเท่ากัน ทุกช่วง เป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลข สามารถ บวก ลบ กันได้ แต่ไม่มีศูนย์แท้ เช่น อุณหภูมิ ระดับทัศนคติ , ระดับความคิดเห็น โดยแปลความหมายจากแบบสอบถามที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า หรือ คะแนนสอบ 0 100 ซึ่งช่วงของตัวเลขจะแบ่งเท่า ๆ กัน และมีค่าเป็นศูนย์ไม่แท้เพราะ ตัวเลข 0 ไม่ได้ มีความหมายว่า ไม่มี แต่ตามความเป็นจริงแล้วยังมีค่าอยู่
          สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และสถิติชั้นสูงทุกตัว
4.  อัตราส่วน (Ratio Scale)
          ข้อมูลประเภทนี้ เป็นข้อมูลที่ใช้วัดในระดับสูง สามารถบวก ลบ คูณ หาร ได้ และมีศูนย์แท้ เช่น น้ำหนัก, ความเร็ว ความกว้าง ความหนา พื้นที่ จำนวนเงิน, อายุ ระยะทาง ซึ่งถ้ามีค่าเป็น 0 หมายถึง ไม่มี
          ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์กับสถิติได้ทุกตัว

หลักการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
          การพิจารณาว่าจะใช้สถิติใดในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยจะต้องพิจารณา องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับหลักการทางสถิติ 3 ประการดังนี้
          1. ลักษณะของตัวอย่างที่นำมาศึกษา ตัวอย่างที่นำมาศึกษานั้นได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างหรือไม่ หากมีการสุ่มตัวอย่างจึงจะใช้สถิติแบบพาราเมตริก (Parametric statistic) แต่ถ้าไม่มีการสุ่มตัวอย่างจะต้องใช้สถิติแบบนอน พาราเมตริก (Nonparametric statistic )
          2. ประเภทของข้อมูล ลักษณะของข้อมูลที่วัดได้มี 4 ประเภท สถิติบางอย่างสามารถใช้ได้กับข้อมูลทุกระดับ แต่บางอย่างใช้ได้กับข้อมูลบางระดับก่อนตัดสินใจว่าจะใช้สถิติใดในการวิเคราะห์      ข้อมูล ผู้วิจัยควรพิจารณาว่า ข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้นเป็นข้อมูลระดับใดเสียก่อน เพื่อจะได้เลือกใช้สถิติได้ถูกต้อง
          3. จุดมุ่งหมายของการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาว่าวัตถุประสงค์ของการวิจัยนั้นมีกี่ตัวแปร มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายลักษณะ    ข้อเท็จจริงของตัวแปร หรือต้องการเปรียบเทียบ หรือ ต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ต้องมีการทดสอบสมมุติฐานอะไรบ้าง จึงจะสามารถเลือกใช้สถิติได้ถูกต้อง

สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย
สถิติพื้นฐาน ได้แก่ สถิติวิเคราะห์เพื่อแสดงความหมายทั่วไปของ  ข้อมูล และใช้เป็น พื้นฐานในการคำนวณสถิติขั้นสูงต่อไป ซึ่งสถิติพื้นฐานได้แก่
1.1 การแจกแจงความถี่ (frequency)
1.2 การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่
                   - ค่าเฉลี่ย (Mean)
                   - มัธยฐาน (Median)
                   - ฐานนิยม (Mode)
       1.3  การวัดการกระจาย ได้แก่
                   - พิสัย (Range)
                   - ความเบี่ยงเบน มาตรฐาน  (Standard Deviation)
                   - ความแปรปรวน (Variance)
          สถิติสำหรับการทดสอบสมมติฐาน เป็นสถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐานว่าเป็นจริงตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ได้แก่
          1.1 การทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ได้แก่ t-test F-test และ         ไคสแควร์ (chi-square)
1.2 การหาความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไป ได้แก่ การหาสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ (
correlation)
          1.3 การพยากรณ์ (regression)

การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
          โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้ในการวิจัยมีหลายโปรแกรม ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันได้แก่ โปรแกรม SPSS for Win (Statistical Package for Social Sciences for windows)
การเตรียมข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติ มีดังต่อไปนี้
           1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
           2. กำหนดหมายเลขลงบนเครื่องมือที่เก็บรวบรวมข้อมูล   (Running Number)
          3. สร้างคู่มือลงรหัสของตัวแปรในเครื่องมือ (code book )
          4. พิจารณาว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลประเภทใด เพื่อจะได้เลือกใช้สถิติสำหรับการวิจัยได้อย่างเหมาะสม
          5. การเตรียมคำสั่ง คำสั่งที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ โดย
                    5.1 คำสั่งรายการข้อมูล (data list ) เป็นการเขียนคำสั่งตามคู่มือลงรหัสที่กำหนด เพื่อให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้วิจัยกับคอมพิวเตอร์
                    5.2 กำหนดสถิติที่ต้องการใช้ ผู้วิจัยจะต้องกำหนดได้ว่าข้อมูลที่บันทึกลงในคอมพิวเตอร์นั้นต้องการให้วิเคราะห์โดยใช้สถิติใด
           6. ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลตามคำสั่งที่กำหนดไว้

                                          กระดาษฟลิปชาร์ท สถิติเพื่อการวิจัย













นางสาวณัฏฐ์สร กมลมาลย์ รหัสนักศึกษา 5641060109
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป กลุ่ม 12 รุ่น 56 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น